พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุพรรณบุรี สถานที่รวบรวมเรื่องราวประวัติศาสตร์ของเมืองสุพรรณตั้งแต่สมัยยุคหินเดินทางผ่านกาลเวลา จนถึงปัจจุบัน สื่อที่นำมาจัดแสดง มีหลายประเภท ทั้งรูปภาพ งานปั้น ที่งดงามจนถึงการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่ตื่นตาเร้าใจ ที่จะให้ทั้งความรู้ และความเพลิดเพลิน กับการแวะชม ภาพของคำว่า " พิพิธภัณฑ์ " ทำให้ผมนึกถึงของเก่าๆ รูปปั้น พระพุธรูป หม้อแตกๆ ฯลฯ แต่ปัจจุบัน รูปแบบพิพิธภัณฑ์หลายแห่งเปลี่ยนไป มีสิ่งใหม่ๆที่ทำให้เกิดความน่าสนใจเพิ่มมากขึ้น ทำให้การศึกษาหาความรู้เรื่องราวของประวัติศาสตร์ ไม่ใช่เรื่องที่น่าเบื่ออีกต่อไปริมถนนสาย สุพรรณ-ชัยนาท บริเวณศูนย์ราชการใหม่จังหวัดสุพรรณบุรี ก้าวแรกสถานที่ภายในสะอาดสวยงาม แอร์เย็นฉ่ำ ภายในแบ่งเป็นห้องต่างๆ เริ่มตั้งแต่สมัยการต่อสู้ปกป้องบ้านเมือง ห้องรวบรวมชนเผ่าต่างๆที่มาอาศัยในเมืองสุพรรณ ห้องแสดงวิถีชีวิตของชนต่างเชื้อชาติและเผ่าพันธุ์ ที่ทำด้วยหุ่นจำลอง ให้ความรู้สึกเหมือนจริง ห้องแสดงโบราณวัตถุ และวัตถุมงคลแบบต่างๆ ที่หายากและมีชื่อเสียง ที่ค้นพบในจังหวัดสุพรรณห้องแสดงศิลปะพื้นบ้านเมืองสุพรรณ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน รวมถึงศิลปินเพลงที่มีชื่อเสียง อย่าง สุรพล สมบัติเจริญ พุ่มพวง ดวงจันทร์ และศิลปินอีกหลายท่าน พร้อมมีเพลงของเหล่าศิลปินให้เลือกฟัง และอีกหลากหลายความน่าสนใจ ![]() |
วันพุธที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2557
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุพรรณบุรี
ต.หนองโอ่ง อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี
ปฏิมากรรม ศาสนา ศัทธา พิธีกรรมกับความเชื่อ
พระฤาษีนารอด เป็นครูของฤาษีทั้งปวง ทรงกำเนิดจากเศียรที่ ๕ ของพระพรมธาดา ทรงเพศเป็นฤาษี พระฤาษีนารอดถือว่าเป็นฤาษีองค์แรกของไตรภูมิ ไม่ว่าจะมีการบูชาสิ่งใด หากไม่มีการเชิญท่านแล้ว พิธีกรรมนั้นมักไม่สมบูรณ์
รูปลักษณ์ของท่านที่สร้างเป็นหัวโขน (ศรีษะครู) สำหรับบูชาเป็นรูปหน้าพระฤาษีหน้าปิดทอง สวมลอมพอกฤาษี มี(กระดาษ) ทำเป็นผ้าพับเป็นชั้นลดหลั่นกันไป เสียบอยู่กลางลอมพอก
รูปลักษณ์ของท่านที่สร้างเป็นหัวโขน (ศรีษะครู) สำหรับบูชาเป็นรูปหน้าพระฤาษีหน้าปิดทอง สวมลอมพอกฤาษี มี(กระดาษ) ทำเป็นผ้าพับเป็นชั้นลดหลั่นกันไป เสียบอยู่กลางลอมพอก

ประวัติปู่ฤาษีนารอด
พระนารอท หรือ พระนาระทะ แล้วแต่จะเรียก เป็น1 ใน พระประชาบดี (เทวฤษีที่เป็นพระผู้สร้าง) ๑๐ องค์ คือ เป็นผู้ประดิษฐ์ "วีณา" -- พิณน้ำเต้าพระฤๅษีนารอดบำเพ็ญพรตอยู่เชิงเขาโสฬส นอกเมืองลงกา เมื่อคราวหนุมานไปถวายแหวนแก่นางสีดาได้เหาะเลยเมืองลงกาเพราะไม่รู้จักทาง ไปพบกันเข้าจึงเกิดการประลองฤทธิ์กัน แต่หนุมานเกิดพ่ายแพ้ต่อฤทธิ์พระฤๅษีจึงยอมอ่อนน้อม และเมื่อคราวหนุมานไปเผากรุงลงกาไฟที่ติดหางหนุมานจะดับอย่างไรก็ไม่สามารถดับได้ หนุมานจึงไปหาพระฤๅษีนารอดให้ช่วยดับไฟให้
วัดแค ต้นมะขามยักษ์ คุ้มขุนแผน
วัดแค ต้นมะขามยักษ์ คุ้มขุนแผน อำเภอเมือง
มะขามยักษ์วัดแค ตำนาน หรือ นิทานพื้นบ้าน "ขุนช้าง - ขุนแผน" เรื่องจริง...เรื่องเล่า...หรือนิทาน...... มะขามยักษ์อายุนับร้อยปี ตัวต่อยักษ์ กับความเชื่อ เรื่องราวเหนือธรรมชาติที่หลายคนมองเป็นเรื่องขบขัน แต่อีกหลายคนเชื่อ และให้ความศัทธา และเดินทางมาเพื่อค้นหาคำตอบ.....
ความเชื่อ... เป็นเรื่องปรกติในสังคมเมืองไทย บางเรื่องทำให้คนมีกำลังใจในการดำเนินชีวิต และก้าวเดินต่อไป และมุมกลับกัน ความเชื่ออาจทำให้หลายคนก้าวเดินไปบนเส้นทางที่ขาดซึ่งเหตุผล.................
ไม่ว่าคุณจะคิดอย่างไร คำตอบที่ได้รับ เราคงต้องเข้ามาค้นหาด้วยตัวเราเอง บางที่ สิ่งที่คิด อาจไม่ใช่..และสิ่งที่ใช่ เราอาจไม่เคยคิด...
วัดแค
มะขามยักษ์วัดแค ตำนาน หรือ นิทานพื้นบ้าน "ขุนช้าง - ขุนแผน" เรื่องจริง...เรื่องเล่า...หรือนิทาน...... มะขามยักษ์อายุนับร้อยปี ตัวต่อยักษ์ กับความเชื่อ เรื่องราวเหนือธรรมชาติที่หลายคนมองเป็นเรื่องขบขัน แต่อีกหลายคนเชื่อ และให้ความศัทธา และเดินทางมาเพื่อค้นหาคำตอบ.....
ความเชื่อ... เป็นเรื่องปรกติในสังคมเมืองไทย บางเรื่องทำให้คนมีกำลังใจในการดำเนินชีวิต และก้าวเดินต่อไป และมุมกลับกัน ความเชื่ออาจทำให้หลายคนก้าวเดินไปบนเส้นทางที่ขาดซึ่งเหตุผล.................
ไม่ว่าคุณจะคิดอย่างไร คำตอบที่ได้รับ เราคงต้องเข้ามาค้นหาด้วยตัวเราเอง บางที่ สิ่งที่คิด อาจไม่ใช่..และสิ่งที่ใช่ เราอาจไม่เคยคิด...
วัดแค
เป็นวัดเก่าแก่ที่มีชื่อปรากฏในวรรณคดี เรื่อง “ขุนช้างขุนแผน” อยู่ในอำเภอเมืองสุพรรณบุรี ไปทางเหนือวัดพระศรีรัตนมหาธาตุประมาณ 2 กิโลเมตร ภายในวัดนี้มีต้นมะขามใหญ่วัดโคนต้นโดยรอบได้ประมาณ 10 เมตร เชื่อกันว่าขุนแผนได้เรียนวิชาเสกใบมะขามจากต้นมะขามต้นนี้ ให้เป็นตัวต่อตัวแตนจากท่านอาจารย์คงไว้โจมตีข้าศึก นอกจากนี้ทางจังหวัดได้สร้างเรือนไทยทรงโบราณเรียกว่า “คุ้มขุนแผน” ไว้ใกล้กับต้นมะขามยักษ์นี้อีกด้วย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เคยเสด็จประพาสวัดแคเมื่อ พ.ศ. 2447
วัดนี้มีโบราณวัตถุที่น่าสนใจ ได้แก่ พระพุทธบาทสี่รอย ทำด้วยทองเหลือง กว้าง 1.40 เมตร ยาว 2.80 เมตร สร้างซ้อนกันไว้ในรอยใหญ่ นอกจากนี้ก็มีพระพุทธรูปปางมารวิชัยขัดสมาธิราบศิลปะรัตนโกสินทร์ จีวรและอังสะเป็นดอกพิกุลงดงามมาก ประดิษฐานอยู่ในวิหารหน้าพระประธาน สิ่งที่น่าสนใจอื่นๆ ก็มี เช่น ระฆังทองเหลือง หม้อต้ม กรักทองเหลือง ตู้ใส่หนังสือที่พระบาทสมเด็จพระ-จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงถวายเมื่อปี 2412
วัดนี้มีโบราณวัตถุที่น่าสนใจ ได้แก่ พระพุทธบาทสี่รอย ทำด้วยทองเหลือง กว้าง 1.40 เมตร ยาว 2.80 เมตร สร้างซ้อนกันไว้ในรอยใหญ่ นอกจากนี้ก็มีพระพุทธรูปปางมารวิชัยขัดสมาธิราบศิลปะรัตนโกสินทร์ จีวรและอังสะเป็นดอกพิกุลงดงามมาก ประดิษฐานอยู่ในวิหารหน้าพระประธาน สิ่งที่น่าสนใจอื่นๆ ก็มี เช่น ระฆังทองเหลือง หม้อต้ม กรักทองเหลือง ตู้ใส่หนังสือที่พระบาทสมเด็จพระ-จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงถวายเมื่อปี 2412
ศูนย์พันธุ์พืชเพาะเลี้ยง
ศูนย์พันธุ์พืชเพาะเลี้ยงศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตร (พันธุ์พืชเพาะเลี้ยง)
อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี สวนสวรรค์สุพรรณบุรี บนเนื้อที่หลายร้อยไร่ ประกอบไปด้วยพืชพันธุ์มากมายหลายชนิด ที่นำมาจัดแสดงให้ชมในแต่ละช่วงเวลา และเทศกาลต่างๆ ตลอดทั้งปี ทั้งไม้ดอกของไทย และต่างประเทศ สีสันสดสวยงามตระการตา และไม้ใบ ไม้ผล ที่ผ่านการค้นคว้าและทำการขยายพันธุ์ จนได้พันธุ์ที่เหมาะสมมีคุณภาพดีที่สุด เพื่อจำหน่ายจ่ายแจกให้เกษตรกรได้นำไป ทำการเพาะปลูก
ศูนย์พันธุ์พืชเพาะเลี้ยง
1-31 ธันวาคม ... เทศกาลดอกไม้เมืองหนาวต่อไป
เทศกาลทุ่งทานตะวันบานสุพรรณบุรีงานทุ่งทานตะวันบานสุพรรณบุรีมีกำหนดการจัดงานในวันที่ 1-15 ธันวาคม 2556 ณ ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตร (พันธุ์พืชเพาะเลี้ยง) จ. สุพรรณบุรี ตั้งอยู่ที่ ต.พลับพลาไชย อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี หรืออีกชื่อหนึ่ง “สวนสวรรค์สุพรรณบุรี” ภายในงานมีนิทรรศการวิชาการเรื่องการเพาะเลี้ยงเห็ดโอ่งเสริมรายได้ การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชเศรษฐกิจ การอนุบาลพืชภายใต้โรงเรือนอนุบาล การออกร้านค้าของดีเมืองสุพรรณบุรี ผลิตภัณฑ์ OTOP ของชุมชน มีการจำหน่ายพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับราคาถูกแก่ผู้มาเที่ยวชมภายในงาน นอกจากนี้ยังมีสวนสวยงามและพรรณไม้อีกมากมาย
ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตร (พันธุ์พืชเพาะเลี้ยง) คือชื่ออย่างเป็นทางการ
โทร 035-437705 หรือ โทร 089-8373277การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานสุพรรณบุรี
โทร. 035 – 536030, 035 – 525867, 035 – 525880
อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี สวนสวรรค์สุพรรณบุรี บนเนื้อที่หลายร้อยไร่ ประกอบไปด้วยพืชพันธุ์มากมายหลายชนิด ที่นำมาจัดแสดงให้ชมในแต่ละช่วงเวลา และเทศกาลต่างๆ ตลอดทั้งปี ทั้งไม้ดอกของไทย และต่างประเทศ สีสันสดสวยงามตระการตา และไม้ใบ ไม้ผล ที่ผ่านการค้นคว้าและทำการขยายพันธุ์ จนได้พันธุ์ที่เหมาะสมมีคุณภาพดีที่สุด เพื่อจำหน่ายจ่ายแจกให้เกษตรกรได้นำไป ทำการเพาะปลูก
ศูนย์พันธุ์พืชเพาะเลี้ยง
ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตร (พันธุ์พืชเพาะเลี้ยง) จ.สุพรรณบุรี
ร่วมกับจังหวัดสุพรรณบุรี ได้กำหนดจัดงานท่องเที่ยวขึ้นเพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในจังหวัดสุพรรณบุรี และเพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้การท่องเที่ยวเชิงเกษตร ซึ่งได้มีกำหนดการจัดงานดังนี้
ร่วมกับจังหวัดสุพรรณบุรี ได้กำหนดจัดงานท่องเที่ยวขึ้นเพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในจังหวัดสุพรรณบุรี และเพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้การท่องเที่ยวเชิงเกษตร ซึ่งได้มีกำหนดการจัดงานดังนี้
ปฏิทินท่องเที่ยวหลักของศูนย์พันธุ์พืชเพาะเลี้ยง (ประมาณวันที่)
1-10 มกราคม ... ดอกทิวลิปบานรับปีใหม่
1-15 กุมภา ... กุมภาสัญญารัก ดอกกุหลาบ
1-31 สิงหาคม ... ทุ่งดอกกระเจียวสื่อรักวันแม่
1-15 ธันวาคม ... ทุ่งทานตะวัน วันพ่อ






เทศกาลไม้ดอกเมืองหนาวงานเทศกาลไม้ดอกเมืองหนาว ณ ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตร (พันธุ์พืชเพาะเลี้ยง) จ. สุพรรณบุรี หรือ “สวนสวรรค์สุพรรณบุรี” ได้กำหนดงานจัดในวันที่ 16 ธันวาคม 2556 ถึง 31 ธันวาคม 2556 ภายในงานพบกับไม้ดอกไม้ประดับเมืองหนาวหลากหลายสีสันและหลากหลายสายพันธุ์ เช่น ลิลลี่ แกลดิโอลัส (ดอกคำมั่นสัญญา) พิทูเนีย แพงพวย กุหลาบนางฟ้า บีโกเนีย หน้าวัวสายพันธุ์ต่างประเทศ และเลือกชิมลูกสตรอเบอรี่สดๆ จากสวนสวรรค์สุพรรณบุรีที่แรกและที่เดียวในภาคกลางที่ปลูกสตรอเบอรี่ได้สำเร็จ นอกจากนี้ภายในงานยังพบกับ การออกร้านของดีเมืองสุพรรณบุรี สินค้า OTOP ของชุมชน พรรณไม้ราคาถูกจากสวนเกษตรกรให้นักท่องเที่ยวได้เลือกซื้อกลับไปปลูกกันอีกด้วย
กุมภาสัญญารักงานกุมภาสัญญารัก ณ ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตร (พันธุ์พืชเพาะเลี้ยง) จ.สุพรรณบุรี เริ่มจัดงานในวันที่ 1-14 กุมภาพันธ์ 2557 บริเวณงานพบกับสวนกุหลาบสายพันธุ์ วาเลนไทน์ จัดรูปแบบสวนสไตล์แวร์ซายน์ (รูปทรงเรขาคณิต) ออกดอกสีแดงชูช่อบานสะพรั่งเพื่อต้อนรับกับเทศกาลวันแห่งความรัก และในวันที่ 14 กุมภาพันธุ์ 2557 ยังได้มีการจัดพิธีมงคลสมรสหมู่ จดทะเบียนสมรสหมู่ ณ บริเวณสวนกุหลาบสวนสไตล์แวร์ซายน์ ภายในงานยังพบกับ การออกร้านของดีเมืองสุพรรณบุรี สินค้า OTOP ของชุมชน พรรณไม้ราคาถูกจากสวนเกษตรกรให้นักท่องเที่ยวได้เลือกซื้อเลือกชมอีกด้วยคำว่า “สวนสวรรค์สุพรรณบุรี” คือสมญานามที่นักท่องเที่ยวตั้งให้
เป็นหน่วยงานของรัฐ มีหน้าที่ส่งเสริมการเพราะปลูกของเกษตรกร โดยการขยายพันธุ์ต้นกล้าด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ในโรงเรือน ด้วยการใช้เนื้อเยื่อ และแจกจ่ายหรือจำหน่ายให้เกษตรกร และเป็นศูนย์ฝึกอบรมให้ความรู้ กับผู้ที่สนใจ และศึกษาค้นคว้าพันธุ์พืชใหม่ๆ สถานที่น่าสนใจภายในศูนย์ ทิวทัศน์โดยรอบจะประดับด้วยพรรณไม้ต่างๆ ทั้งไม้ดอก ไม้ใบ ไม้ผล มีห้องอาหารที่ตกแต่งไว้สวยงาม ด้านหลังมีสระน้ำ ที่ประดับด้วยบัววิกตอเรีย
โรงเรือนเพาะพันธุ์ต้นกล้าพันธุ์ไม้จากเนื้อเยื้อ โรงเรือนขนาดใหญ่ สำหรับจำหน่ายต้นไม้ ทั้งไม้ดอก ไม้ผล ในราคาถูก และในส่วนพื้นที่ว่างนับร้อยไร่ ก็จะเป็นบริเวณ ทุ่งทานตะวัน ในช่วงวันพ่อแห่งชาติ ตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม ถึงปลายเดือนโดยจะบานสะพรั่งสวยงามที่สุดราวๆ วันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี และในช่วงเดียวกัน ภายในสวนสวรรค์แห่งนี้ ยังงดงามด้วย ดอกไม้เมืองหนาว นานาพันธุ์ และที่พลาดชมไม่ได้ ดอกทิวลิป หลากสีสัน ที่จะบานพร้อมกันในช่วงปีใหม่... และช่วงวันแม่แห่งชาติ ก็จะพบกับสีชมพูแสนหวานของ ทุ่งดอกกระเจียว ที่จะแบ่งบานอวดโฉมกันตลอดเดือนสิงหาคม
โรงเรือนเพาะพันธุ์ต้นกล้าพันธุ์ไม้จากเนื้อเยื้อ โรงเรือนขนาดใหญ่ สำหรับจำหน่ายต้นไม้ ทั้งไม้ดอก ไม้ผล ในราคาถูก และในส่วนพื้นที่ว่างนับร้อยไร่ ก็จะเป็นบริเวณ ทุ่งทานตะวัน ในช่วงวันพ่อแห่งชาติ ตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม ถึงปลายเดือนโดยจะบานสะพรั่งสวยงามที่สุดราวๆ วันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี และในช่วงเดียวกัน ภายในสวนสวรรค์แห่งนี้ ยังงดงามด้วย ดอกไม้เมืองหนาว นานาพันธุ์ และที่พลาดชมไม่ได้ ดอกทิวลิป หลากสีสัน ที่จะบานพร้อมกันในช่วงปีใหม่... และช่วงวันแม่แห่งชาติ ก็จะพบกับสีชมพูแสนหวานของ ทุ่งดอกกระเจียว ที่จะแบ่งบานอวดโฉมกันตลอดเดือนสิงหาคม
เป็นอีก
สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตร (พันธุ์พืชเพาะเลี้ยง) จ.สุพรรณบุรี โทร 035-437705 หรือ โทร 089-8373277การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานสุพรรณบุรี
โทร. 035 – 536030, 035 – 525867, 035 – 525880
www.tatsuphan.netสถานที่ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะท่านที่รักต้นไม้ก็ไม่น่าจะพลาดชม
วันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
อุทยานแห่งชาติพุเตย
อุทยานแห่งชาติพุเตย อำเภอด่านช้าง
ดินแดนแห่งขุนเขา ป่าหนึ่งเดียวที่สมบูรณ์ที่สุดของเมืองสุพรรณ เป็นชายป่าผืนสุดท้ายของป่าห้วยขาแข้ง เป็นสถานที่ที่เหมาะกับนักเดินทางทีหลงใหลในธรรมชาติ ความสงบเงียบ ป่าเขา น้ำตก ความงดงามงามของดวงอาทิตย์ยามเช้า ไอหมอก ความหนาวเย็น และวิถีชีวิตของชนชาวกระเหรี่ยง
ดินแดนแห่งขุนเขา ป่าหนึ่งเดียวที่สมบูรณ์ที่สุดของเมืองสุพรรณ เป็นชายป่าผืนสุดท้ายของป่าห้วยขาแข้ง เป็นสถานที่ที่เหมาะกับนักเดินทางทีหลงใหลในธรรมชาติ ความสงบเงียบ ป่าเขา น้ำตก ความงดงามงามของดวงอาทิตย์ยามเช้า ไอหมอก ความหนาวเย็น และวิถีชีวิตของชนชาวกระเหรี่ยง
สถานที่กางเต็นท์มี 3 จุดใหญ่ๆ ได้แก่
- หน่วยพิทักษ์อุทยานฯ พุเตยที่ 1 (ด้านวังคัน-ป่าขี)
- ที่ทำการอุทยานฯ พุเตย (ด้านปลักประดู่-ห้วยหินดำ)
- หน่วยพิทักษ์อุทยานฯ พุเตยที่ 3 ตะเพินคี่ (ด้านปลักประดู่-ตะเพินคี่)
- หน่วยพิทักษ์อุทยานฯ พุเตยที่ 1 (ด้านวังคัน-ป่าขี)
- ที่ทำการอุทยานฯ พุเตย (ด้านปลักประดู่-ห้วยหินดำ)
- หน่วยพิทักษ์อุทยานฯ พุเตยที่ 3 ตะเพินคี่ (ด้านปลักประดู่-ตะเพินคี่)
สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในเขต อุทยานแห่งชาติพุเตย
ป่าสนสองใบธรรมชาติ หน่วยพิทักษ์อุทยานฯ พุเตยที่ 1
มีประมาณกว่า 1,300 ต้น อยู่บนเทือกเขาพุเตยเป็น ป่าแปลกมหัศจรรย ์เพราะป่าสนจะเจริญเติบโตในพื้นที่ภูเขาสูงชัน มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,000 เมตรขึ้นไป แต่ป่าสนแห่งนี้เจริญเติบโตบนพื้นที่ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลเพียง 763 เมตรเท่านั้นสภาพป่าสมบูรณ์มาก จนได้รับเลือกให้เป็นศูนย์แม่พันธุ์ไม้สนสองใบในภาคกลาง บางต้นมีขนาดใหญ่วัดได้ถึง 2-3 คนโอบ ห่างจากที่ทำการหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ ที่ 1 (พุเตย) ประมาณ 12 กิโลเมตร
มีประมาณกว่า 1,300 ต้น อยู่บนเทือกเขาพุเตยเป็น ป่าแปลกมหัศจรรย ์เพราะป่าสนจะเจริญเติบโตในพื้นที่ภูเขาสูงชัน มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,000 เมตรขึ้นไป แต่ป่าสนแห่งนี้เจริญเติบโตบนพื้นที่ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลเพียง 763 เมตรเท่านั้นสภาพป่าสมบูรณ์มาก จนได้รับเลือกให้เป็นศูนย์แม่พันธุ์ไม้สนสองใบในภาคกลาง บางต้นมีขนาดใหญ่วัดได้ถึง 2-3 คนโอบ ห่างจากที่ทำการหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ ที่ 1 (พุเตย) ประมาณ 12 กิโลเมตร
หมู่บ้านกระเหรี่ยงตะเพินคี่ หน่วยพิทักษ์อุทยานฯ พุเตยที่ 3 ตะเพินคี่
เป็นป่าที่สวยงาม และเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านกะเหรี่ยง ชนกลุ่มน้อยที่อาศัยมากว่า 200 ปี ผืนป่า และต้นน้ำตะเพินคี่ ยังคงสภาพสมบูรณ์ เหมาะแก่การท่องเที่ยวเชิงผจญภัยล่องไพร เป็นดินแดนแห่งความหนาวเย็น ในหน้าหนาวอุณหภูมิจะลดลง 5-6 ํC ยอดเขาเทวดา ที่ความสูงกว่า 1000 เมตร ในวันที่อากาศเหมาะสม นักท่องเที่ยวอาจจะได้ชมทะเลหมอกที่สวยงาม และไปยืนจุดที่เป็น ดินแดนรอยต่อของสามจังหวัด สุพรรณบุรี-อุทัยธานี-กาญจนบุรี การเดินทาง หน้าฝนควรเป็นรถขับเคลื่อน 4 ล้อ ส่วนหน้าแล้งรถยนต์นั่งธรรมดาก็สามารถไปได้ แต่ควรเป็นรถกระบะ
หน่วยพิทักษ์อุทยานฯ พุเตยที่ 1 (ด้านวังคัน-ป่าขี)
อยู่ห่างจากอำเภอด่านช้าง ประมาณ 33 กิโลเมตร ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 333 เดินทางจากอำเภอด่านช้างถึงบ้านวังคัน ประมาณ 15 กิโลเมตร และเลี้ยวซ้ายที่สามแยกบ้านวังคัน ถึงบ้านป่าขี ระยะทางประมาณ 15 กิโลเมตร แล้วเดินทางต่ออีก 3 กิโลเมตร
เป็นทางลาดยางตลอดเส้นทาง *** รถทุกชนิดสามารถเข้าไปได้
ระยะทาง กรุงเทพ - หน่วยพิทักษ์อุทยานฯ ที่ 1(พุเตย-ป่าขี) 210 ก.ม.
หมู่บ้านกระเหรี่ยงตะเพินคี่ อยู่ติดเขตแนวกันชนมรดกโลก เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งระยะทาง กรุงเทพ - หมู่บ้านกระเหรี่ยงตะเพินคี่ (หน่วยพิทักษ์อุทยานที่ 3) 260 ก.ม.
อุทยานแห่งชาติพุเตย ตั้งอยู่ในจังหวัดสุพรรณบุรี มีเนื้อที่ 198,422 ไร่ จัดตั้งขึ้นเนื่องจากกรมป่าไม้เห็นว่า พื้นที่ป่าเพื่อการอนุรักษ์บางส่วนในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าองค์พระ ป่าเขาพุระกำ และป่าห้วยพลู ท้องที่อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี มีสภาพป่าอุดมสมบูรณ์เป็นแหล่งต้นน้ำลำธารในการเกษตร ของจังหวัดสุพรรณบุรีและจังหวัดกาญจนบุรี มีทิวทัศน์สวยงาม สัตว์ป่าชุกชุม สมควรอนุรักษ์ไว้เป็นสมบัติของชาติ จึงแต่งตั้งให้ นายพันเทพ อันตระกูล นักวิชาการกรมป่าไม้ ไปทำการสำรวจบุกเบิกเตรียมการประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติ ตั้งแต่ปี 2538 จนถึงปี 2541 จึงได้ประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 84 ในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 115 ตอนที่ 67ก ลงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2541 โดยใช้ชื่อว่า "อุทยานแห่งชาติพุเตย" ต่อมาได้มีคำสั่งกรมป่าไม้ที่ 2421/2543 ลงวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2543 ให้โอนงานวนอุทยาน "ถ้ำเขาวง" ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของป่าไม้เขตนครสวรรค์ จำนวน 8,125 ไร่ ผนวกเข้าเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติพุเตย โดยให้มีการจัดการตามระบบอุทยานแห่งชาติ
ลักษณะภูมิประเทศ สภาพทั่วไปเป็นเทือกเขาสูงติดต่อกันสลับซับซ้อน จุดสูงสุดที่ยอดเขาเทวดา ระดับความสูง 1,123 เมตร เป็นต้นน้ำลำธาร ซึ่งไหลลงอ่างเก็บน้ำลำตะเพิน ตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ มีคลอง ลำห้วยต่างๆ เช่น ห้วยเหล็กไหล ห้วยวังน้ำเขียว ห้วยองค์พระ ห้วยท่าเดื่อ ห้วยขมิ้น ห้วยองคต ซึ่งเป็นลำน้ำสายหลักของชาวสุพรรณบุรี และเป็นต้นกำเนิดของเขื่อนกระเสียว
พันธุ์ไม้และสัตว์ป่า มีสภาพเป็นป่าดิบชื้นเช่น ป่าสนสองใบ ป่าเต็งรัง
อุทยานแห่งชาติพุเตยมีสัตว์ป่าอาศัยอยู่มากมายหลายชนิดด้วยกัน สัตว์ที่มีเป็นจำนวนมากในพื้นที่ ได้แก่ เลียงผา นกเงือก ชะนี ลิงลม
สภาพภูมิอากาศ สภาพอากาศ มีลมมรสุมพัดผ่านตลอดปี เกิดฤดูกาล 3 ฤดู คือ ฤดูฝน ประมาณ เดือนพฤษภาคม ถึงกลางเดือนตุลาคม ฤดูหนาว ประมาณปลายเดือนตุลาคม ถึงเดือน กุมภาพันธ์ และฤดูร้อน ประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ ถึงกลางเดือนพฤษภาคม อุณหภูมิเฉลี่ยโดยทั่วไปประมาณ 25-30 องศาเซลเซียส แต่ในฤดูหนาวจะมีอุณหภูมิประมาณ 10 - 15 องศาเซลเซียส และที่หมู่บ้านกระเหรี่ยงตะเพินคี่นั้นมีอุณหภูมิประมาณ 5-6 องศาเซลเซียส
สถานที่พัก สิ่งอำนวยความสะดวก และการเตรียมตัว
อุทยานแห่งชาติพุเตย มีบ้านพักไว้บริการนักท่องเที่ยว และสถานที่กางเต็นท์สะอาด นักท่องเที่ยวควรเตรียมอุปกรณ์ในการพักแรมไปด้วย เช่น เต็นท์ ถุงนอน เปลสนามฯลฯ แต่หากนักท่องเที่ยวประสงค์จะค้างแรมใน กรณีที่ไม่ได้เตรียมอุปกรณ์พักแรมไปด้วย ทางอุทยานฯ ได้ปรับปรุงบ้านพักราชการไว้เป็นห้องพักรับรองนักท่องเที่ยวชั่วคราว และมีเต็นท์ให้บริการ อาหารควรเตรียมไปเอง นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปกางเต็นท์บนเข้าสนได้ ต้องเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม ข้างบนจะไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก
เป็นป่าที่สวยงาม และเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านกะเหรี่ยง ชนกลุ่มน้อยที่อาศัยมากว่า 200 ปี ผืนป่า และต้นน้ำตะเพินคี่ ยังคงสภาพสมบูรณ์ เหมาะแก่การท่องเที่ยวเชิงผจญภัยล่องไพร เป็นดินแดนแห่งความหนาวเย็น ในหน้าหนาวอุณหภูมิจะลดลง 5-6 ํC ยอดเขาเทวดา ที่ความสูงกว่า 1000 เมตร ในวันที่อากาศเหมาะสม นักท่องเที่ยวอาจจะได้ชมทะเลหมอกที่สวยงาม และไปยืนจุดที่เป็น ดินแดนรอยต่อของสามจังหวัด สุพรรณบุรี-อุทัยธานี-กาญจนบุรี การเดินทาง หน้าฝนควรเป็นรถขับเคลื่อน 4 ล้อ ส่วนหน้าแล้งรถยนต์นั่งธรรมดาก็สามารถไปได้ แต่ควรเป็นรถกระบะ
น้ำตกตะเพินคี่น้อย
เป็นน้ำตกขนาดเล็กอยู่ใกล้กับหมู่บ้านตะเพินคี่ มีน้ำไหลตลอดปี เป็นความงดงามทางธรรมชาติ ที่คนภายนอกไม่ค่อยได้มีโอกาสไปสัมผัส เหมาะสำหรับผู้ที่รักการเดินทางแบบผจญภัยเล็กๆน้ำตกตะเพินคี่ใหญ่
เป็นน้ำตกขนาดเล็กมีสองชั้น ความสูงประมาณชั้นละ 5-6 เมตร มีน้ำไหลตลอดปี
เพราะเป็นต้นน้ำและบ่อน้ำผุด ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และยังมีถ้ำที่สวยงามที่ยังอยู่ระหว่างการสำรวจวนอุทยานถ้ำเขาวง, ถ้ำพุหวาย
จาก อ.ด่านช้าง ไปทาง อ.บ้านไร่-บ.สะนำ แยกซ้ายไปวนอุทยานฯ ห่างจากที่ทำการหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ ที่ 1 (พุเตย) รวมระยะทาง 52 ก.ม. ผ่านวัดถ้ำเขาวง
เป็นน้ำตกขนาดเล็กอยู่ใกล้กับหมู่บ้านตะเพินคี่ มีน้ำไหลตลอดปี เป็นความงดงามทางธรรมชาติ ที่คนภายนอกไม่ค่อยได้มีโอกาสไปสัมผัส เหมาะสำหรับผู้ที่รักการเดินทางแบบผจญภัยเล็กๆน้ำตกตะเพินคี่ใหญ่
เป็นน้ำตกขนาดเล็กมีสองชั้น ความสูงประมาณชั้นละ 5-6 เมตร มีน้ำไหลตลอดปี
เพราะเป็นต้นน้ำและบ่อน้ำผุด ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และยังมีถ้ำที่สวยงามที่ยังอยู่ระหว่างการสำรวจวนอุทยานถ้ำเขาวง, ถ้ำพุหวาย
จาก อ.ด่านช้าง ไปทาง อ.บ้านไร่-บ.สะนำ แยกซ้ายไปวนอุทยานฯ ห่างจากที่ทำการหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ ที่ 1 (พุเตย) รวมระยะทาง 52 ก.ม. ผ่านวัดถ้ำเขาวง
อยู่ห่างจากอำเภอด่านช้าง ประมาณ 33 กิโลเมตร ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 333 เดินทางจากอำเภอด่านช้างถึงบ้านวังคัน ประมาณ 15 กิโลเมตร และเลี้ยวซ้ายที่สามแยกบ้านวังคัน ถึงบ้านป่าขี ระยะทางประมาณ 15 กิโลเมตร แล้วเดินทางต่ออีก 3 กิโลเมตร
เป็นทางลาดยางตลอดเส้นทาง *** รถทุกชนิดสามารถเข้าไปได้
ระยะทาง กรุงเทพ - หน่วยพิทักษ์อุทยานฯ ที่ 1(พุเตย-ป่าขี) 210 ก.ม.
ที่ทำการอุทยานฯพุเตย (พุเตย-ห้วยหินดำ)
จากหน่วยพิทักษ์อุทยานฯที่ 1 ตรงไปตามทางลูกรัง ผ่านศาลเลาดาห์ และทางขึ้นเขาสน
*** (ถนนบางช่วงเป็นหลุมบ่อ ควรเป็นรถกระบะ) ระยะทาง 15 ก.ม.
หรือ ถ้ามาจากกรุงเทพ ก่อนถึง อ.ด่านช้าง แยกซ้ายเข้าเส้นทาง หมายเลข 3086 ถึงสี่แยกบ้านปลักประดู่ เลี้ยวขวาผ่าน - ทุ่งมะกอก - ห้วยหินดำ......ตามป้ายไปจนถึงที่ทำการฯ
เป็นทางลาดยางตลอดเส้นทาง *** รถทุกชนิดสามารถเข้าไปได้
ระยะทาง กรุงเทพ - ที่ทำการอุทยานฯพุเตย (พุเตย-ห้วยหินดำ) 240 ก.ม.
จากหน่วยพิทักษ์อุทยานฯที่ 1 ตรงไปตามทางลูกรัง ผ่านศาลเลาดาห์ และทางขึ้นเขาสน
*** (ถนนบางช่วงเป็นหลุมบ่อ ควรเป็นรถกระบะ) ระยะทาง 15 ก.ม.
หรือ ถ้ามาจากกรุงเทพ ก่อนถึง อ.ด่านช้าง แยกซ้ายเข้าเส้นทาง หมายเลข 3086 ถึงสี่แยกบ้านปลักประดู่ เลี้ยวขวาผ่าน - ทุ่งมะกอก - ห้วยหินดำ......ตามป้ายไปจนถึงที่ทำการฯ
เป็นทางลาดยางตลอดเส้นทาง *** รถทุกชนิดสามารถเข้าไปได้
ระยะทาง กรุงเทพ - ที่ทำการอุทยานฯพุเตย (พุเตย-ห้วยหินดำ) 240 ก.ม.
หน่วยพิทักอุทยานฯ พุเตยที่ 3 ตะเพินคี่ (ด้านปลักประดู่-ตะเพินคี่)
จากอำเภอด่านช้าง เดินทางไปบ้านบ้านปลักประดู่ (เส้นทาง 3086) - บ้านวังยาว ไปบ้านกล้วยป่าผาก (ทางลาดยาง) เลี้ยวซ้ายขึ้นเขาอีกประมาณ 14 ก.ม. *** (สภาพถนนเป็นทางลูกรังขรุขระ และเป็นทางขึ้นเขาสูงชัน ควรเป็นรถขับเคลื่อน 4 ล้อในหน้าฝน และรถกระบะในหน้าแล้ง)
จากอำเภอด่านช้าง เดินทางไปบ้านบ้านปลักประดู่ (เส้นทาง 3086) - บ้านวังยาว ไปบ้านกล้วยป่าผาก (ทางลาดยาง) เลี้ยวซ้ายขึ้นเขาอีกประมาณ 14 ก.ม. *** (สภาพถนนเป็นทางลูกรังขรุขระ และเป็นทางขึ้นเขาสูงชัน ควรเป็นรถขับเคลื่อน 4 ล้อในหน้าฝน และรถกระบะในหน้าแล้ง)
หมู่บ้านกระเหรี่ยงตะเพินคี่ อยู่ติดเขตแนวกันชนมรดกโลก เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งระยะทาง กรุงเทพ - หมู่บ้านกระเหรี่ยงตะเพินคี่ (หน่วยพิทักษ์อุทยานที่ 3) 260 ก.ม.

ลักษณะภูมิประเทศ สภาพทั่วไปเป็นเทือกเขาสูงติดต่อกันสลับซับซ้อน จุดสูงสุดที่ยอดเขาเทวดา ระดับความสูง 1,123 เมตร เป็นต้นน้ำลำธาร ซึ่งไหลลงอ่างเก็บน้ำลำตะเพิน ตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ มีคลอง ลำห้วยต่างๆ เช่น ห้วยเหล็กไหล ห้วยวังน้ำเขียว ห้วยองค์พระ ห้วยท่าเดื่อ ห้วยขมิ้น ห้วยองคต ซึ่งเป็นลำน้ำสายหลักของชาวสุพรรณบุรี และเป็นต้นกำเนิดของเขื่อนกระเสียว
พันธุ์ไม้และสัตว์ป่า มีสภาพเป็นป่าดิบชื้นเช่น ป่าสนสองใบ ป่าเต็งรัง
อุทยานแห่งชาติพุเตยมีสัตว์ป่าอาศัยอยู่มากมายหลายชนิดด้วยกัน สัตว์ที่มีเป็นจำนวนมากในพื้นที่ ได้แก่ เลียงผา นกเงือก ชะนี ลิงลม
สภาพภูมิอากาศ สภาพอากาศ มีลมมรสุมพัดผ่านตลอดปี เกิดฤดูกาล 3 ฤดู คือ ฤดูฝน ประมาณ เดือนพฤษภาคม ถึงกลางเดือนตุลาคม ฤดูหนาว ประมาณปลายเดือนตุลาคม ถึงเดือน กุมภาพันธ์ และฤดูร้อน ประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ ถึงกลางเดือนพฤษภาคม อุณหภูมิเฉลี่ยโดยทั่วไปประมาณ 25-30 องศาเซลเซียส แต่ในฤดูหนาวจะมีอุณหภูมิประมาณ 10 - 15 องศาเซลเซียส และที่หมู่บ้านกระเหรี่ยงตะเพินคี่นั้นมีอุณหภูมิประมาณ 5-6 องศาเซลเซียส
สถานที่พัก สิ่งอำนวยความสะดวก และการเตรียมตัว
อุทยานแห่งชาติพุเตย มีบ้านพักไว้บริการนักท่องเที่ยว และสถานที่กางเต็นท์สะอาด นักท่องเที่ยวควรเตรียมอุปกรณ์ในการพักแรมไปด้วย เช่น เต็นท์ ถุงนอน เปลสนามฯลฯ แต่หากนักท่องเที่ยวประสงค์จะค้างแรมใน กรณีที่ไม่ได้เตรียมอุปกรณ์พักแรมไปด้วย ทางอุทยานฯ ได้ปรับปรุงบ้านพักราชการไว้เป็นห้องพักรับรองนักท่องเที่ยวชั่วคราว และมีเต็นท์ให้บริการ อาหารควรเตรียมไปเอง นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปกางเต็นท์บนเข้าสนได้ ต้องเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม ข้างบนจะไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก
อัตราค่าบริการกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ
อัตราค่าอาหาร
- ค่าอาหาร/150/วัน/คน
เช้า ข้าวต้ม/ข้าวผัด 1อย่าง
กลางวัน ข้าวห่อ /หมู/ไก่ 1 อย่าง
เย็น กับข้าว 2 อย่าง + ของหวานหรือผลไม้
****เกินจากนี้บวกค่าอาหารเพิ่ม 50 บาท/อย่าง
****ค่า Coffee Break ราคา 30 บาท/คน
ราคาค่าอาหารและราคาค่ารายการต่างๆ*** เริ่มใช้ตั้งวันที่ 1 พฤศจิกายน 2556
ค่าโป่งเทียม ตัวละ 900 บาท
ค่าหนังสติ๊กสู่ต้นกล้า ชุดละ 500 บาท
ค่าฝายชลอน้ำ (ฝายแม้ว) ตัวละ 1,000 บาท
ค่าแนวกันไฟ แนวละ 600 บาท
ค่าต้นไม้ ต้นละ 50 บาท
ค่าวิทยากรบรรยายตามฐานเรียนรู้ ฐานละ 500 บาท
ค่าเต็นท์เล็ก หลังละ 250 บาท
นักท่องเที่ยวนำเต็นท์มากางเอง หลังละ 30 บาท/คืน/หลัง
ค่าบ้านพักหลังละ 500 บาท/คืน
ค่ามอเตอร์ไซด์ คันละ 20 บาท
ค่ารถยนต์ คันละ 30 บาท
ค่ารถที่เกิน 6 ล้อ คันละ 100 บาท
ค่ารถบัส คันละ 200 บาท
ค่าบุคคลเข้าอุทยานฯ ผู้ใหญ่คนละ 20 บาท เด็กคนละ 10 บาท
ชาวต่างชาติคนละ 100 บาท
ค่าเช่ารถยนต์ขึ้นป่าสนสองใบและศาลเลาด์ดาห์แอร์ ราคา 1,200 บาท
ค่าเช่ารถขึ้นตะเพินคี่ ราคา 2,000 บาท
****ขอให้ใช้อัตรานี้เป็นบรรทัดฐาน****
ผู้ใดสนใจ ติดต่อ 081-9342240, 035-446-237
อัตราค่าอาหาร
- ค่าอาหาร/150/วัน/คน
เช้า ข้าวต้ม/ข้าวผัด 1อย่าง
กลางวัน ข้าวห่อ /หมู/ไก่ 1 อย่าง
เย็น กับข้าว 2 อย่าง + ของหวานหรือผลไม้
****เกินจากนี้บวกค่าอาหารเพิ่ม 50 บาท/อย่าง
****ค่า Coffee Break ราคา 30 บาท/คน
ราคาค่าอาหารและราคาค่ารายการต่างๆ*** เริ่มใช้ตั้งวันที่ 1 พฤศจิกายน 2556
ค่าโป่งเทียม ตัวละ 900 บาท
ค่าหนังสติ๊กสู่ต้นกล้า ชุดละ 500 บาท
ค่าฝายชลอน้ำ (ฝายแม้ว) ตัวละ 1,000 บาท
ค่าแนวกันไฟ แนวละ 600 บาท
ค่าต้นไม้ ต้นละ 50 บาท
ค่าวิทยากรบรรยายตามฐานเรียนรู้ ฐานละ 500 บาท
ค่าเต็นท์เล็ก หลังละ 250 บาท
นักท่องเที่ยวนำเต็นท์มากางเอง หลังละ 30 บาท/คืน/หลัง
ค่าบ้านพักหลังละ 500 บาท/คืน
ค่ามอเตอร์ไซด์ คันละ 20 บาท
ค่ารถยนต์ คันละ 30 บาท
ค่ารถที่เกิน 6 ล้อ คันละ 100 บาท
ค่ารถบัส คันละ 200 บาท
ค่าบุคคลเข้าอุทยานฯ ผู้ใหญ่คนละ 20 บาท เด็กคนละ 10 บาท
ชาวต่างชาติคนละ 100 บาท
ค่าเช่ารถยนต์ขึ้นป่าสนสองใบและศาลเลาด์ดาห์แอร์ ราคา 1,200 บาท
ค่าเช่ารถขึ้นตะเพินคี่ ราคา 2,000 บาท
****ขอให้ใช้อัตรานี้เป็นบรรทัดฐาน****
ผู้ใดสนใจ ติดต่อ 081-9342240, 035-446-237
อุทยานมังกรสวรรค์
อุทยานมังกรสวรรค์
พิพิธภัณฑ์ลูกหลานพันธุ์มังกร
ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง และหมู่บ้านมังกรสวรรค์
มหัศจรรย์งานสร้าง ด้วยแรงเงิน และแรงศัทธา สถานที่รวบรวมเรื่องราวที่มากคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ห้องเรียนที่น่าตื่นตาตื่นใจ และสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่อาจผ่านเลย
ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง สถานที่เคารพของชาวไทยเชื้อสายจีน เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ผู้คนต้องแวะเวียนมากราบไหว้ขอพร ที่ซึ่งหลายคนเชื่อว่า หากได้มากราบไหว้แล้ว จะนำมาซึ่งโชคลาภ ความร่ำรวย ความสำเร็จ และความสุข และยังเป็นสถานที่ที่รวบรวมเรื่องราว รูปแบบ วิถีชีวิตของชนชาวจีน ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับชนชาวไทยเสมือนพี่กับน้อง เป็นสถานที่ที่สวยงาม ควรค่าแก่การแวะชม
พิพิธภัณฑ์ลูกหลานพันธุ์มังกร
ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง และหมู่บ้านมังกรสวรรค์
มหัศจรรย์งานสร้าง ด้วยแรงเงิน และแรงศัทธา สถานที่รวบรวมเรื่องราวที่มากคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ห้องเรียนที่น่าตื่นตาตื่นใจ และสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่อาจผ่านเลย
ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง สถานที่เคารพของชาวไทยเชื้อสายจีน เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ผู้คนต้องแวะเวียนมากราบไหว้ขอพร ที่ซึ่งหลายคนเชื่อว่า หากได้มากราบไหว้แล้ว จะนำมาซึ่งโชคลาภ ความร่ำรวย ความสำเร็จ และความสุข และยังเป็นสถานที่ที่รวบรวมเรื่องราว รูปแบบ วิถีชีวิตของชนชาวจีน ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับชนชาวไทยเสมือนพี่กับน้อง เป็นสถานที่ที่สวยงาม ควรค่าแก่การแวะชม
เมื่อครั้งโบราณมีคำกล่าวว่า " ห้ามเจ้าไปเมืองสุพรรณจะทำให้มีอันเป็นไป "
เมื่อ พ.ศ. 2435 สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสด็จตรวจราชการเมืองสุพรรณ ได้ทรงสักการะเจ้าพ่อหลักเมือง ได้ประทานทรัพย์ส่วนพระองค์สร้างศาลเพิ่มขึ้น พร้อมวางแผนให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสเมืองสุพรรณ พระพุทธเจ้าหลวงทรงพระดำรัสว่า "เข้าทีดีหนักหนา แต่เขาไม่ให้เจ้าไปเมืองสุพรรณ ว่าถ้าขืนไปจะเป็นบ้าไม่ใช่หรือ" สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพจึงกราบบังคมทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้าไปมาแล้วไม่เห็นเป็นอะไร ยังรับราชการมาจนบัดนี้ พระพุทธเจ้าหลวงทรงตรัสสั้นๆว่า "ไปซิ" จากนั้นพระองค์จึงเสด็จมาเมืองสุพรรณ ในคราวเสด็จประพาสต้นเมื่อ พ.ศ. 2447 และทรงกระทำพลีกรรมเจ้าพ่อหลักเมือง และพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ก่อสร้างเขื่อนรอบเนินศาล ทำชานไว้สำหรับคนที่บูชา สร้างกำแพงแก้ว ต่อตัวศาลเพิ่มเติมออกมา ข้างหน้าเป็นแบบเก๋งจีน โดยทั่วไปศาลหลักเมืองนั้นจะทำด้วยไม้ บนยอดจะเป็นหัวเม็ด แต่หลักเมืองของ สุพรรณนี้พิเศษกว่าหลักเมืองทั่วไปคือ จะเป็นหินและมีพุทธปฎิมากรอยู่ด้วย

ก่อตั้งขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสที่ประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน
มีความสัมพันธ์ทางการทูตครบ 20 ปี เมื่อปี พ.ศ. 2539
รูปแบบแปลกตาด้วยภาพ แสงสีเสียง และเทคนิกพิเศษ น่าชมเป็นอย่างยิ่ง
จีน...เป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน
และเป็นชนชาติที่มีอารยะธรรมยาวนานกว่า 5000 ปี
ตั้งแต่สมัยเสินหนง....เป็นหัวหน้าเผ่าแซ่เจียง เมื่อ 5,000 ปี ก่อน
เป็นผู้คิดประดิษฐ์คันไถด้วยไม้ - ค้นคิดยาสมุนไพรชนิดต่างๆ
และสอนให้ผู้คนรู้จักการปลูกข้าว ทำไร่ไถนา
เข้ามาในยุคโบราณ..สืบกษัตริย์สายพันธุ์มังกร.......ยุค ราชวงค์เซี่ย...ราชวงค์ซาง...
ราชวงโจว..จนถึงยุค..เลียดก๊ก ซึ่งมี 7 ก๊กใหญ่ที่ครองอำนาจ
จิ๋นซีฮ่องเต้ เป็นจักรพรรดิองค์แรก
ยุค...ราชวงศืฮั่น.....เป็นยุคที่เจริญรุ่งเรือง และยาวนานที่สุดของชนชาติจีน
ยุค..สามก๊ก.......ยุคราชวงศ์..ถัง .....ราชวงศ์หยวน
ซึ่งถูกปกครองโดย จักรพรรดิ กุบไลข่าน ซึ่งเป็นชาวแมนจู
และเวลาผ่านไป จักรพรรดิองค์ต่อๆมาก็กดขี่ขมเหงชาวจีนอย่างมาก
จนเกิดกบฎ จูหยวนจาง(จักรพรรดิหงหวู่) ได้รวบรวม และก่อตั้งราชวงศ์..หมิง
ในสมัยราชวงศ์ชิง เป็นราชวงศ์ของเผ่าแมนจู
ปูยี....จักรพรรดิองค์สุดท้ายก่อนสถาปนาเป็นระบบสาธารณรัฐ
ดร. ซุนยัดเซ็น ยึดอำนาจจากจักรพรรดิ และสถาปนาระบอบประชาธิปไตย
หลังจากซุนยัดเซ็นเสียชีวิต เป็นช่วงเวลาชิงอำนาจระหว่างฝ่ายประชาธิปไตย
คือ เจียงไคเช็ค กับฝ่ายคอมมิวนิสต์ นำโดย เหมาเจ๋อตุง สุดท้ายเหมาเจ๋อตุงเป็นฝ่ายชนะ
เจียงไคเช็คหนีไปยังเกาะไต้หวัน และสถาปนาสาธารณรัฐจีนขึ้นแทน
กาลเวลาเดินผ่านมาจนถึงวันนี้...
นอกจากความงดงามที่ได้ชมมาแล้ว ยังมีส่วนอื่นๆ
อย่าง ห้องฉายภาพยนตร์ ห้องรับฝากของ จำหน่ายหนังสือ
ห้องจำหน่ายของที่ระลึก และห้องเครื่องเล่นสำหรับเด็ก
ส่วนบริเวณรอบนอกก็จัดตกแต่งสวยงาม มีรูปปั้น ระฆังยักษ์
และน้ำตกขนาดใหญ่สวยงาม คุ้มค่ากับการแวะเที่ยวชม....
พระบรมราชานุสรณ์ ดอนเจดีย์
พระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์
ประกอบด้วยพระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงพระคชาธารออกศึกและองค์เจดีย์ยุทธหัตถี สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงสร้างเจดีย์ขึ้น เพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะในสงครามยุทธหัตถี ที่ทรงมีต่อพระมหาอุปราชาแห่งพม่า เมื่อปี พ.ศ. 2134
ภายในองค์เจดีย์ได้มีการสร้างห้องแสดงประวัติศาสตร์ ทั้งภาพแสงสีเสียง และหุ่นจำลองการยกทัพของพม่าและไทย หลายร้อยตัว เป็นสถานที่ได้ทั้งความรู้และเพลิดเพลิน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน ได้เสด็จทรงประกอบพิธีบวงสรวง และเปิดพระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์
กองทัพบกได้บูรณะปฏิสังขรณ์องค์เจดีย์ขึ้นใหม่ โดยสร้างเป็นเจดีย์แบบลังกาทรงกลมใหญ่ สูง 66 เมตร ฐานกว้างด้านละ 36 เมตร ครอบเจดีย์องค์เดิม
ประกอบด้วยพระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงพระคชาธารออกศึกและองค์เจดีย์ยุทธหัตถี สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงสร้างเจดีย์ขึ้น เพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะในสงครามยุทธหัตถี ที่ทรงมีต่อพระมหาอุปราชาแห่งพม่า เมื่อปี พ.ศ. 2134
ภายในองค์เจดีย์ได้มีการสร้างห้องแสดงประวัติศาสตร์ ทั้งภาพแสงสีเสียง และหุ่นจำลองการยกทัพของพม่าและไทย หลายร้อยตัว เป็นสถานที่ได้ทั้งความรู้และเพลิดเพลิน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน ได้เสด็จทรงประกอบพิธีบวงสรวง และเปิดพระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์
กองทัพบกได้บูรณะปฏิสังขรณ์องค์เจดีย์ขึ้นใหม่ โดยสร้างเป็นเจดีย์แบบลังกาทรงกลมใหญ่ สูง 66 เมตร ฐานกว้างด้านละ 36 เมตร ครอบเจดีย์องค์เดิม
สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงพระราช สมภพเมื่อเดือน 1 ขึ้น 1 ค่ำ ปีเถาะ พ.ศ. 2098 ณ พระราชวัง จันทรเกษม จังหวัดพิษณุโลก เป็นพระโอรสองค์ที่ 2 แห่งสมเด็จพระมหาธรรมราชา และสมเด็จพระวิสุทธิกษัตรี อันเป็นพระราชธิดาแห่งสมเด็จพระศรีสุริโยทัย และพระมหาจักรพรรดิ์ พระองค์ทรงมีพระเชษฐภคินีคือ สมเด็จพระศรีสุพรรณกัลยาณี และพระอนุชาสมเด็จพระเอกาทศรถ
|
ครั้งเมื่อกรุงศรีอยุธยาแตก หงสาวดีบุเรงนองได้นำสมเด็จพระนเรศวรไปยังหงสาวดีเพื่อเป็นตัวประกัน ขณะเมื่อทรงมีพระชันษาได้เพียง 8 พระชันษา ครั้นหงสาวดีบุเรงนองสิ้นพระชนม์ หงสาวดีนันทบุเรง ขึ้นครองราช ทรงมีพระโอรสองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า มังรายกะยอชะวา (ต่อมาได้สถาปนาเป็น พระมหาอุปราชา) ซึ่งมีนิสัยเย่อหยิ่ง ครั้งหนึ่งมังรายกะยอชะวาเอาไก่ชนมาชนกับไก่ของสมเด็จพระนเรศวรแล้วแพ้ จึงกล่าวกับพระนเรศวรว่า " อ้ายไก่เชลยที่พลัดบ้านเมืองมา ไม่ครนามือกู" พระนเรศวรจึงตรัสตอบว่า "แม้เป็นไก่เชลย แต่ไก่ตัวนี้อย่าว่าแต่ตีเพื่อความสนุกเลย เดิมพันเอาบ้านเอาเมืองก็ยังได้"
สมเด็จพระนเรศวรทรงเจริญพระชันษาในราชสำนักหงสาวดี พร้อมกับฝีมือการต่อสู้ที่กร้าวแกร่ง ต่อมาพระศรีสุพรรณกัลยาณีได้เสียสละอย่างสูงสุด เดินทางไปถวายตัวกับพระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรง เพื่อแลกตัวสมเด็จพระนเรศวรกลับยังกรุงศรีอยุธยา ครั้งหนึ่งพระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงได้เรียกให้พระนเรศวรยกทัพไปร่วมทัพที่กรุงหงสาวดี เพื่อจะไปตีเมืองอังวะ แต่ได้ออกอุบายให้ พระยาเกียรติพระยาราม สองขุนศึกมอญลอบปลงพระชนม์ แต่พระยาเกียรติพระยารามได้นำความไปเล่าให้ พระมหาเถรคันฉ่องซึ่งเป็นพระอาจารย์ฟัง พระมหาเถรจึงนำพระยาเกียรติพระยารามเข้าเฝ้ากราบทูลเรื่องราวแก่ สมเด็จพระนเรศวร พระองค์ทรงมีปฐมบรมราชโองการประกาศอิสระภาพ ณ เมืองแครง ว่า "กูสมเด็จพระนเรศวร ขอประกาศความเป็นอิสระภาพ ไม่ขึ้นกับหงสาวดีอีกต่อไป"
หงสาวดีนันทบุเรงทรงพิโรธ สั่งให้สุกรรมา นายทัพคู่ใจ ออกไปสกัดทัพไว้ที่แม่น้ำสะโตง สมเด็จพระนเรศวรทรงใช้พระแสงปืนยิงสุกรรมาเสียชีวิตบนหลังช้าง ทรงพระราชทานนามพระแสงปืนนั้นว่า "พระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตง" ในปี พ.ศ. 2133 พระมหาธรรมราชาเสด็จสวรรคต หงสาวดีนันทบุเรงถือเป็นโอกาส จึงสั่งให้พระมหาอุปราชาให้ยกทัพมาตีกรุงศรี แต่ก็ต้องพ่ายแพ้กลับไป จนปี พ.ศ. 2135 พระมหาอุปราชา และ มังจาชโร (พระเจ้าแปร) ได้ยกทัพเข้ามาตีกรุงศรีทางด่านเจดีย์สามองค์ ครั้นถึงบ้านพนมทวน เกิดลมพัดฉัตรเหนือพระเศียรหักลง ซึ่งในคืนวันเดียวกับที่สมเด็จพระนเรศวร ตั้งทัพอยู่ที่ทุ่ง ต.ม่วงหวาน แขวงวิเศษชัยชาญ ทรงสุบินว่า มีสายน้ำหลากมาจากทิศตะวันตก มีพระยากุมภีร์ตัวใหญ่ว่ายตามน้ำมาเข้าทำร้าย พระองค์ทรงใช้พระแสงดาบคู่มือฟันแทงจนถึงแก่ความตาย
สมเด็จพระนเรศวรสั่งเคลื่อนพล 100,000 นายขึ้นไปตั้งทัพที่ หนองสาหร่าย เมืองสุพรรณ ให้พระยาศรีไสยณรงค์เป็นทัพหน้า ตั้งทัพที่ดอนเผาข้าว เกิดปะทะกับทัพของพม่า และพ่ายถอยร่นมายังกองทัพของสมเด็จพระนเรศวร ทัพของสมเด็จพระนเรศวรเข้าช่ายจนเกิดฝุ่นตลบ ครั้นฝุ่นหายไป สมเด็จพระนเรศวรก็ตกอยู่ในวงรอมของกองทัพพม่า พระองค์จึงตรัสแก่พระมหาอุปราชาให้ร่วมทำการยุธหัตถี " ขอพระเจ้าพี่ได้ทำการยุทธหัตถี ด้วยการยุทธเยี่ยงนี้จักไม่บังเกิดขึ้นอีกต่อไป " พลายพัทธกอ (ช้างของพระมหาอุปราชา) ได้ล่างรุนแบกพลายไชยยานุภาพ (ช้างสมเด็จพระนเรศวร) พระมหาอุปราชาเงื้อพระแสงของ้าวฟันถูกปีกพระมาลาของ สมเด็จพระนเรศวรขาดกระเด็น (ทรงพระราชทานนามว่า พระมาลาเบี่ยง ครั้นพลายไชยยานุภาพได้ทีรุนพลายพัทธกอเท้าหน้าลอยขึ้น สมเด็จพระนเรศวรทรงใช้พระแสงง้าวฟันกระดูกพระพาหาขาดลงไปถึงพระอุระ (อก) ผ่านพระอุทรออกทางพระปรัศว์ (สีข้าง) อีกข้างหนึ่งสิ้นพระชนม์
ส่วนพระเอกาทศรถทรงช้างพระยาปราบไตรจักร ก็มีชัยต่อมังจาชโร (พระเจ้าแปร) ช้างพระที่นั่งไชยยานุภาพ พระราชทานนามใหม่ว่า "เจ้าพระยาปราบหงสาวดี " รับสั่งให้สร้างสถูปขึ้นที่พระองค์ทรงทำยุทธหัตถี พระราชทานนามว่า "เจดีย์ยุทธหัตถี" ณ ตำบลท่าคอย (ปัจจุบันเป็นตำบลดอนเจดีย์) เมื่อปี พ.ศ. 2147 สมเด็จพระนเรศวรทรงยกทัพไปต่อสู้กับพระเจ้าอังวะ ทรงตั้งค่ายที่เมืองหาง ทรงพระประชวรเป็นพระยอดพิษที่พระนลาฏ และเสด็จสวรรคตที่ เมืองหาง เมื่อวันจันทร์ เดือน 6 ขึ้น 8 ค่ำ ปีมะเส็ง พระชันษา 50 พรรษา รวมเวลาเสวยราชสมบัติเป็นเวลา 15 ปี
|
วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2557
ตลาดร้อยปี สามชุก
แผนที่แหล่งท่องเที่ยวจังหวัดสุพรรณบุรี

ตลาดเก้าห้องตลาดเก้าห้องเป็นตลาดริมน้ำไทย-จีนแบบดั้งเดิม สามารถสัมผัสบรรยากาศได้ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นสภาพบ้านเรือนไม้เก่า
หรือชีวิตแบบเรียบง่าย การค้าขายสินค้าท้องถิ่น โรงงานขนมเปี๊ยะ ขนมกระหรี่ปั๊ป ขนมถ้วยฟู ขนมจันอับ ข้าวเกรียบว่าวแบบชาวบ้าน โรงพิมพ์ ร้านขายของเก่าโบราณ และยังมี หอดูโจร ในตลาดเก้าห้อง เป็นหอที่ก่ออิฐถือปูนกว้าง ๓x๓ เมตร สูงราว ๔ ตึก ๔ ชั้น สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๗ เพื่อใช้เป็นที่เฝ้ายามระวังโจรที่คอยจะจ้องเข้ามาปล้นตลาด ชั้นบนเป็นดาดฟ้า แต่ละชั้นฝาผนังเจาะรูโตขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๓ นิ้ว เมื่อขึ้นไปบนยอดสุดจะมองเห็นทัศนียภาพทั้งทางบกและทางน้ำของตลาดเก้าห้องได้ทั้งหมด สอบถามข้อมูลเพื่อเติมได้ที่ โทร. ๐ ๓๕๕๘ ๗๐๔๔, ๐๘ ๑๗๐๔ ๒๑๘๓, ๐๘ ๑๗๖๓ ๔๑๓๓ ![]() ![]()
|
วันพุธที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2557
สถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดสุพรรณบุรี
บึงฉวากเฉลิมพระเกียรติ
บึงฉวากเฉลิมพระเกียรติ เป็นบึงน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 2,700 ไร่ อยู่ห่างจากตัวเมืองสุพรรณบุรีประมาณ 64 กิโลเมตร บึงฉวากมีพื้นที่ติดต่อกับอำเภอหันคา จังหวัดชัยนาทและอำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี ส่วนที่อยู่ในเขตอำเภอเดิมบางนางบวชมีพื้นที่ประมาณ 1,700 ไร่ บึงฉวากได้รับประกาศให้เป็นเขตห้ามล่าสัตว์มาตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2526 และในปี พ.ศ. 2541 ได้รับการจัดให้เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับชาติ ตามอนุสัญญาแรมซาร์ที่ประเทศไทยเป็นภาคี เนื่องจากความหลากหลายของพันธุ์พืชและสัตว์ที่มีในบึง ลักษณะที่เรียกว่าเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำตามอนุสัญญาแรมซาร์ คือพื้นที่ลุ่ม พื้นที่ราบลุ่ม พื้นที่ลุ่มชี้นแฉะ พื้นที่ฉ่ำน้ำ มีน้ำท่วม น้ำขัง พื้นที่พรุ พื้นที่แหล่งน้ำ ทั้งที่เกิดเองตามธรรมชาติและที่มนุษย์สร้าง ทั้งที่มีน้ำขังหรือน้ำท่วมถาวรหรือชั่วคราว ทั้งแหล่งน้ำนิ่งและน้ำไหล แหล่งน้ำจืด น้ำกร่อยและน้ำเค็ม รวมไปถึงชายฝั่งทะเลและทะเลในบริเวณซึ่งเมื่อน้ำลดต่ำสุด น้ำลึกไม่เกิน 6 เมตร ซึ่งบึงฉวากเข้าข่ายลักษณะดังกล่าว คือเป็นบึงน้ำจืดที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มีความลึกเฉลี่ยประมาณ 1 – 3 เมตร
ศูนย์พัฒนาการจัดการสัตว์ป่าบึงฉวาก สร้างขึ้นเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวโรกาสทรงครองราชย์เป็นปีที่ 50 ประกอบด้วย อาคารศูนย์บริการนักท่องเที่ยว จัดนิทรรศการให้ความรู้เกี่ยวกับการ เพาะเลี้ยงสัตว์ป่าชนิดต่างๆ การดูนก สภาพทางภูมิศาสตร์ ประวัติความเป็นมาของบึงฉวาก มีตู้จำลองระบบนิเวศ ห้องฉายสไลด์วีดิทัศน์ ด้านนอกอาคารมี กรงเลี้ยงนก ขนาดใหญ่ มีพื้นที่ประมาณ 5 ไร่ สูง 25 เมตร ภายในกรงได้รับการตกแต่งให้ดูคล้าย สภาพธรรมชาติ ประกอบด้วยนกกว่า 45 ชนิด ที่น่าสนใจ ได้แก่ นกกาบบัว นกเป็ดแดง ไก่ฟ้าพญาลอ และ ไก่ฟ้าสีทอง ซึ่งกล่าวกันว่า เป็นไก่ฟ้าที่มีความสวยงามที่สุดในโลก มีการจำลองน้ำตกขนาดเล็กเอาไว้ภายในกรง ผู้เข้าชมจะเดินตามทางเดินที่จัดไว้ และได้สัมผัสใกล้ชิดกับนกต่าง ๆ ที่ปล่อยให้มีชีวิตอยู่ในสภาพแบบธรรมชาติ เดินผ่านหน้าเราไป หากเดินถัดไปจากกรงนก จะเป็นกรงเสือขนาดใหญ่ กรงเสือขนาดเล็ก มีเสือชนิดต่าง ๆ ให้ชมและ ที่พิเศษคือ มีลูกเสือดูดนมหมู และสัตว์สวยงามอีกหลายชนิด
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่
ศูนย์พัฒนาการจัดการสัตว์ป่าบึงฉวาก เปิดทุกวัน
จันทร์-ศุกร์ 08-16.30 น.
เสาร์-อาทิตย์ 08.00-18.00 น.
โทร. 035-439206, 035-439210
สำนักงานเขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงฉวาก
โทร. 035-481250
1. เขตห้ามล่าสัตว์ป่า 2. กรงเสือและกรงสิงห์โต
กรงเสือและสิงโต ลักษณะภายในตกแต่งเป็นถ้ำและเนินหิน ให้ดูคล้ายสภาพธรรมชาติ ซึ่งเป็นกรงเลี้ยงสัตว์ป่าตระกูลแมว อันได้แก่ สิงโต เสือโคร่ง เสือลายเมฆ เสือดาว แมวดาว เป็นต้น นอกจากนั้นยังมีกรงสัตว์ป่าหายากอีกหลายประเภท ที่จัดแสดงไว้ เช่น นกน้ำ นกยูงและไก่ฟ้าชนิดต่างๆ ม้าลาย อูฐ และนกกระจอกเทศ
3. สถานที่ถ่ายภาพร่วมกับสัตว์ เด็กจะได้สนุกสนานกับการถ่ายภาพบนหลังม้า
หรือถ่ายภาพคู่กับลิงอุรังอุตัง เก็บไว้เป็นที่ระลึก4. ศูนย์พัฒนาการจัดการสัตว์ป่า และกรงนกใหญ่ เดินชมภายในกรงนกใหญ่ ที่มีสภาพแวดล้อมคล้าย สภาพธรรมชาติ ชมพันธ์นกหายากกว่า 30 ชนิด เช่น นกยูง นกกาบบัว เป็ดแดง
5. เกาะกระต่าย พื้นที่คล้ายเกาะ สร้างเป็นที่พักของกระต่าย 2 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์เจอร์ซี่ วูลลี่ และสายพันธุ์แองโกร่า ที่มีความน่ารักและสวยงาม รวมทั้งยังมีกวางดาว เนื้อทราย และจากสาเหตุที่เป็นเกาะมีพื้นที่น้ำล้อมรอบ จึงเลี้ยงปลาไว้ในกระชังอีกจำนวนมาก เพื่อให้ผู้คนได้พักผ่อนอีกประเภทหนึ่ง โดยการให้อาหาร เช่น ปลาทอง ปลาคาร์ฟ ปลาสวายเผือก ฯลฯ ศูนย์พัฒนาการจัดการสัตว์ป่าบึงฉวาก เปิดทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 08.00-16.30 น. เสาร์-อาทิตย์ เวลา 08.00-18.00 น.
6. ศูนย์รวมพันธุ์ไก่ และกรงสัตว์หายาก
เป็นสถานที่รวบรวมพันธุ์ไก่ชนิดต่างๆ ทั้งสวยงาม และหายาก เช่น ไก่ฟ้าหลังขาว ไก่ฟ้าสีทอง ไก่ฟ้าพญาลอ และสัตว์หายากอีกหลายชนิด
(ค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 5 บาท)
7. อุทยานผักพื้นบ้านเฉลิมพระเกียรติ (ชมฟรี) อยู่ในความดูแลของกรมส่งเสริมการเกษตร จัดตั้งขึ้นเพื่อสร้างจิตสำนึก ให้ประชาชนทั่วไปเห็นคุณค่าและอนุรักษ์ผักพื้นบ้าน โดยรวบรวมผักพื้นบ้านจากทั่วภูมิภาค ของประเทศไทยกว่า 500 ชนิด มาปลูกไว้ในบริเวณเกาะกลางบึงฉวาก มีทั้งสมุนไพร ไม้ยืนต้น ไม้เลื้อย และไม้ชื้นแฉะที่น่าสนใจได้แก่ น้ำเต้าสี่เหลี่ยม บวบหอมขนาดใหญ่ อุโมงค์น้ำพุ และการจัดสวนไม้ประดับด้วยผักพื้นบ้าน นอกจากนั้นยังมีโรงปลูกพืชระบบระเหยน้ำ และสาธิตการปลูกพืชไร้ดินจัดแสดงให้ชมด้วย และมีห้องสมุดบริการคอมพิวเตอร์ สำหรับค้นคว้าข้อมูลพันธุ์ผักต่าง ๆ 8. เรือจักรยานน้ำสำหรับครอบครัวได้ออกกำลังกาย กับธรรมชาติที่สวยงามภายในบึง | ห้องนิทรรศการแสดงผลผลิตทางการเกษตร ศูนย์บริการท่องเที่ยวเกษตรอุทยานผักพื้นบ้านฯ เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่ เวลา 08.30-18.00 น. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร.081-948 214, 089-8361358, 035-430011 หรือสำนักงานเกษตรอำเภอเดิมบางนางบวช โทร.035-545450 , 035-555455 (ชมฟรี) |
โซนสัตว์น้ำ
9. สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำบึงฉวาก (อุโมงค์ปลา)ภายในอาคารแสดงพันธุ์สัตว์น้ำรวบรวมพันธุ์ ปลาน้ำจืด ปลาสวยงามและพันธุ์ปลาหายาก เอาไว้ให้ประชาชนได้ศึกษา แบ่งเป็น 3 อาคาร อาคารแสดงสัตว์น้ำหลังที่ 1 จัดแสดงพันธุ์สัตว์น้ำจืดและสัตว์น้ำเค็ม ทั้งพันธุ์ปลาไทย และพันธุ์ปลาต่างประเทศกว่า 50 ชนิด เช่น ปลาบึก ปลากระโห้ ปลาม้า ปลากราย ปลาช่อนงูเห่า ปลาเสือตอ เป็นต้น อาคารแสดงสัตว์น้ำหลังที่ 2 ประกอบด้วยตู้ปลาขนาดใหญ่สวยงาม บรรจุน้ำได้กว่า 400 ลูกบาศก์เมตร และมีอุโมงค์ความยาวประมาณ 8.5 เมตร ผู้ชมสามารถเดินลอดผ่านใต้ตู้ปลา ได้บรรยากาศเหมือนอยู่ใกล้สัตว์น้ำ ซึ่งถือว่าเป็นอุโมงค์ปลาน้ำจืดแห่งแรก ของประเทศไทย มีนักประดาน้ำหญิงสาธิตการให้อาหารปลา นอกจากนั้นโดยรอบยังมีตู้ปลาน้ำจืดอีก 30 ตู้ และตู้ปลาทะเลสวยงามอีก 7 ตู้
การแสดงตู้ปลาใหญ่
มีเฉพาะวันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์
มี 4 รอบ ตั้งแต่เวลา 10.30 – 16.00 น.10. บ่อจระเข้น้ำจืด
เป็นบ่อจระเข้ที่ได้จำลองให้มีสภาพใกล้เคียงกับ ธรรมชาติมากที่สุด พื้นที่ประมาณ 3 ไร่ มีจระเข้น้ำจืดพันธุ์ไทยขนาด 1.5 – 4.0 เมตร ประมาณ 60 ตัว ซึ่งผู้ชมจะได้เห็นความเป็นอยู่ แบบธรรมชาติของจระเข้ และสามารถเข้าชมอย่างใกล้ชิด
มีการแสดงจระเข้วันเสาร์ – อาทิตย์
และวันหยุดนักขัตฤกษ์
รอบ 11.00น. 12.30น. 14.00น. และ 15.30 น.
11. อาคารสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำหลังที่ 3
(สวรรค์แห่งโลกใต้ทะเล)
จัดแสดงพันธุ์ปลาทะเลมากมายหลายชนิด ให้ได้ชมกัน มีตู้ปลาขนาดใหญ่ และตู้ปลารูปทรงแปลกตา เพื่อคอยบริการนักท่องเที่ยวให้ได้ชื่นชมกับ ความสวยงาม และบรรยากาศของโลกใต้ทะเล รวมทั้งตื่นตาตื่นใจกับอุโมงค์ปลา และบันไดเลื่อน ขนาดความยาว 75 เมตร เพื่อให้ได้ศึกษาสภาพความเป็นอยู่ของ สัตว์ทะเลอย่างใกล้ชิด รวมทั้งบ้านของเจ้าแห่งท้องทะเล หรือปลาฉลามอีกจำนวนมาก ภายอาคารในพบกับ
สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำบึงฉวากเฉลิมพระเกียรติ
เปิดให้เข้าชมทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ
ค่าเข้าชม
ผู้ใหญ่ 30 บาท เด็ก 10 บาท
วันจันทร์ – ศุกร์ เปิดเวลา 08.30 – 17.00 น.
วันเสาร์ – อาทิตย์ เปิดเวลา 08.30 – 18.00 น.
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
โทร. 035-430043 – 4, 035-430033
โทรสาร 035-439208
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)